มีความงดงามบางอย่างในการมองชีวิตของตัวเองเป็นเรื่องราวต่อเนื่อง ที่เราเป็นตัวเอกที่มั่นคง แต่ความคิดเรื่องตัวตนที่คงที่นั้นมีความจริงแค่ไหน เราสามารถเปลี่ยนบุคลิกภาพของตัวเองได้หรือไม่ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีแรงภายนอกมาคุกคามและอาจเปลี่ยนแปลงตัวตนของเรา
คุณเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
Pullman Draft คือไอเดียที่ก่อให้เกิดความคิดใหม่ๆ เป็นการจุดประกายในบทสนทนา และคำเชิญให้มองโลกในมุมใหม่ ยินดีต้อนรับสู่ Pullman Drafts ซีรีส์บทสะท้อนส่วนตัวร่วมกับ House of Beautiful Business ที่นำเสนอข้อมูลดีๆ จากวงการธุรกิจ วัฒนธรรม สื่อ และเทคโนโลยี
18 กันยายน 2025
less than a minute
ในช่วงฤดูหนาวเมื่อฉันอายุ 21 ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบาย การลุกจากเตียงในตอนเช้ากลายเป็นเรื่องยากลำบาก สมองมึนงง ร่างกายก็หนักอึ้งและไม่ตอบสนองตามที่สั่ง แค่ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านั้น ฉันยังเป็นนักศึกษากราฟิกดีไซน์ที่มีความสุขและขยันเรียน และมีเพื่อนรอบตัวมากมายอยู่เลย ทันใดนั้นฉันก็ไม่สามารถมีสมาธิกับการเรียน หรือมีความสุขกับกิจกรรมที่เคยทำให้มีความสุขได้อีกต่อไป ในสภาพที่เฉื่อยชาและซึมเศร้า ฉันจึงปลีกตัวออกจากครอบครัว เมื่อไปพบนักบำบัดอยู่สองสามครั้งแล้วยังไม่ได้รับคำตอบ ฉันก็ถูกส่งไปทำ MRI ผลที่ออกมานั้นน่าตกใจมาก มีเนื้องอกอะดีโนมาเกิดขึ้นที่ต่อมใต้สมองของฉัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ฉันมีเนื้องอกในสมอง
เมื่อย้อนมองกลับไปจากวันนี้ ฉันน่าจะได้พูดคุยกับ Hannah Critchlow นักประสาทวิทยา ตลอดช่วงเวลาที่ฉันเจอเรื่องนี้มา หมอของฉันอธิบายทุกอย่างด้วยศัพท์ทางการแพทย์ แต่ฉันคิดว่าการเข้าใจเรื่องความสามารถในการปรับตัวของสมอง ซึ่งเป็นวิธีที่ประสบการณ์ยากลำบากหล่อหลอมตัวเราน่าจะช่วยให้ฉันสบายใจขึ้นมากในตอนนั้น เมื่อมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่ยากที่จะรับมือได้ที่สุดก็คือการทำความเข้าใจถึงความหมายของความทุกข์ที่เรากำลังเผชิญ เรามักจะหันไปพึ่งพาเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณหรือศาสนาเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตในช่วงเวลาที่มืดมน ฉันไม่เคยคิดเลยว่างานวิจัยที่ก้าวล้ำทางด้านพันธุศาสตร์จะช่วยให้ฉันรู้สึกสงบได้มากขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาที่ยากลำบาก
เราสืบทอดความทรงจำมา เหมือนกับที่เราสืบทอดนัยน์ตาสีน้ำตาล
Hannah กับฉันกำลังสนทนากันในเช้าวันหนึ่งปลายฤดูร้อนแสงแดดแจ่มใส แก้มของเธอยังคงดูแดงระเรื่อจากการวิ่งจ็อกกิง 30 นาทีเป็นประจำทุกวัน ซึ่งเป็นกิจวัตรที่เธอทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ “ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก” เนื่องจากประโยชน์ที่มีต่อสมอง ในฐานะนักประสาทวิทยาที่ Cambridge University Hannah ได้เขียนงานวิจัยมากมายในหัวข้อที่เธอหลงใหล นั่นก็คือ: การถกเถียงเรื่อง “พันธุกรรมหรือการเลี้ยงดู (Nature vs. Nurture)” เธอเป็นผู้นำทางด้านการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญเพียงใดในการกำหนดตัวตนของเราและวิธีที่เรากำหนดชีวิตของตัวเอง มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าลักษณะนิสัยที่ซับซ้อน ตั้งแต่แนวคิดทางการเมืองไปจนถึงรสนิยมทางดนตรีของเรา ได้ถูกกำหนดไว้ในยีนของเราแล้ว นอกจากนี้ยังมีสาขางานวิจัยใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งเพิ่มความซับซ้อนที่น่าสนใจเข้าไปอีกขั้น: เราได้รับมรดกมาจากพ่อแม่มากกว่าแค่ลักษณะทางกายภาพ และอาจได้รับมรดกความทรงจำมาจากพวกเขาด้วยเช่นกัน
“มันเหลือเชื่อมาก” Hannah กล่าวโดยที่ดวงตาของเธอเป็นประกาย “อีพิเจเนติกส์ (Epigenetics) คือกลไกที่น่าทึ่งจริง ๆ โดยที่ประสบการณ์จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ DNA ของเราได้ ซึ่งหมายความว่าเราอาจส่งต่อได้ทั้งประสบการณ์ที่เลวร้าย และความทรงจำเชิงบวกไปยังลูกหลาน ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงภัยคุกคามบางอย่างได้และเติบโตได้ดี
เธอเล่าให้ฉันฟังเกี่ยวกับงานวิจัยชิ้นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังทฤษฎีนี้ มีการทดลองให้หนูกลุ่มหนึ่งได้รับกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ในทุกครั้งที่พวกมันได้รับเชอร์รี่หวาน ซึ่งเป็นอาหารโปรดของพวกมัน เมื่อเวลาผ่านไป พวกหนูทดลองเริ่มตอบสนองในทางลบต่อผลไม้ชนิดนี้ โดยพวกมันเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงกลิ่นเข้ากับการลงโทษ เหมือนกับสุนัขของ Pavlov เมื่อทำการทดลองซ้ำกับหนูรุ่นหลาน พวกมันก็จะมีปฏิกิริยาต่อเชอร์รี่ในแบบเดียวกัน โดยจะตัวแข็งทื่อเมื่อได้กลิ่นเชอร์รี่ พฤติกรรมนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยการเรียนรู้ เพราะหนูรุ่นหลานไม่เคยรู้จักหนูรุ่นปู่ย่าตายายมาก่อน
“ดูเหมือนว่ากลไกคล้าย ๆ กันนี้ก็มีอยู่ในมนุษย์เช่นกัน” Hannah กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความเห็นอกเห็นใจ “มีข้อมูลที่กำลังเผยแพร่ออกมาเกี่ยวกับการส่งผ่านความบอบช้ำทางจิตใจในเชิงชีวภาพข้ามรุ่น เราจะเก็บความทรงจำเหล่านั้นและตอบสนองในแบบที่จะช่วยให้เราอยู่รอดในอนาคตได้อย่างไร" เธอกล่าว
“ดังนั้น การฟื้นตัวจากเหตุการณ์ที่ตึงเครียดสุด ๆ ในชีวิต เช่น การเจ็บป่วยร้ายแรง ซึ่งสามารถส่งผลทางชีวภาพเชิงบวกต่อลูกหลานของเราไปได้หลายศตวรรษ ในแง่ที่ว่าคุณได้ส่งต่อความสามารถในการก้าวผ่านช่วงเวลายากลำบากที่คุณผ่านมันมาได้ให้กับพวกเขาใช่ไหมคะ” ฉันถาม
เมื่อ Hannah พยักหน้าและบอกว่าเป็นไปได้ เธอก็ไม่รู้เลยว่าคำตอบนี้มีความหมายกับฉันมากแค่ไหน และคำถามนี้เป็นส่วนตัวกับฉันมากเพียงใด
แข็งดุจเพชร หรือนิ่มเหมือนดินเหนียวล่ะ
ฉันอยากจะฟังความคิดเห็นของ Hannah เกี่ยวกับต้นกำเนิดของบุคลิกภาพของเรามาก อะไรที่สามารถอธิบายได้ว่าเราคือใคร เราชอบอะไร และสุดท้ายเราจะทำอะไรกับชีวิตของเรา "ไม่มีอะไรที่ถูกกำหนดไว้ตายตัว" Hannah บอกฉัน “พันธุกรรมเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็มีกระบวนการทางชีวภาพอันน่าทึ่งในสมองของเราที่เรียกว่า Synaptic Plasticity อีกด้วย มันช่วยให้เราสามารถเปลี่ยนข้อมูลใหม่ ๆ ให้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท ซึ่งสามารถสร้างเส้นทางใหม่ ๆ ในสมองของเราได้จริง ๆ" กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ข้อมูลและประสบการณ์จะหล่อหลอมวิธีที่เรามองโลกและวิธีที่เราจะโต้ตอบกับโลกใบนั้นอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ผู้คนที่เราอยู่ใกล้หรือรายล้อมรอบตัวเราก็ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของเราเช่นกัน Hannah อธิบายถึงการที่ความคิดหรือความรู้สึกทางศีลธรรมสามารถแพร่ไปสู่คนอื่นได้ ”เราถูกกำหนดมาให้เลียนแบบและคล้อยตามพฤติกรรมของคนรอบข้าง นั่นเป็นอีกส่วนหนึ่งของความสำเร็จในฐานะเผ่าพันธุ์มนุษย์” ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า หากคุณเพิ่มคนขี้โกงเข้าไปในห้อง คนอื่น ๆ ก็จะเริ่มโกงตามกันไปด้วย ในทำนองเดียวกัน ผู้นำที่มีหลักการ มีความซื่อตรง และมีความเมตตา ก็จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นทำตาม “ข้อสรุปที่แท้จริงก็คือ สมองของเรากำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกการกระทำและประสบการณ์ของเราสามารถสร้างการเชื่อมต่อใหม่ ๆ ในสมองที่มีอยู่แล้ว นั่นหมายความว่า เราจะเริ่มคิดในรูปแบบใหม่ ๆ ได้จริง ๆ" Hannah กล่าว "การวิ่งในตอนเช้าของฉัน การออกกำลังกายนั่นดูเหมือนจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของสมอง การเกิดใหม่ของเซลล์สมอง และความแข็งแกร่งทางจิตใจ การวิ่ง การทำตามปณิธานปีใหม่ การพบปะกับผู้คนหลากหลาย การสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ ทั้งหมดนี้มีผลต่อการทำงานของสมองอย่างยั่งยืน และส่งผลต่อเนื่องต่อตัวตนของคุณในที่สุด"
เธอไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวฉันเลย ช่วงเวลาหนึ่งหลังจากได้รับการวินิจฉัยโรคไม่นาน เมื่อฉันกลับไปเรียนและเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย อาจารย์คนหนึ่งเรียกฉันเข้าไปในห้องทำงานเพื่อพูดคุยถึงงานของฉัน เธอบอกว่างานของฉันมีพัฒนาการมากขึ้นเป็นสิบเท่าตั้งแต่ตอนที่ฉันมีอาการป่วย "ฉันไม่เคยเห็นงานดีไซน์แบบนี้จากเธอมาก่อนเลย มันมีความโดดเด่นและทรงพลังมาก ราวกับว่าบางสิ่งลึก ๆ ในตัวคุณได้เปลี่ยนไป” เธอบอก
คำพูดของเธอทำให้ฉันซึ้งใจมาก ๆ เพราะฉันรู้ว่ามันเป็นความจริง อาการป่วยได้เปลี่ยนแปลงตัวฉันไป มันบังคับให้ฉันต้องหันมาสำรวจตัวเองและค้นหาว่าฉันคือใครโดยปราศจากความแน่นอนของอนาคตที่ฉันเคยคิดว่าจะมีอยู่ตลอดไป ทั้งปรัชญา Stoic โบราณและทฤษฎีการบำบัดสมัยใหม่ ต่างเน้นให้เรารับรู้และยอมรับสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ในชีวิต และหันมาให้ความสำคัญกับวิธีการตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นของเราแทน ในโลกที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ทรมาน การจะเชื่อคำพูดที่ว่า “สิ่งที่ทำลายคุณไม่ได้จะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” อาจเป็นเรื่องยาก แต่ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของการเจ็บป่วย ฉันกลับค้นพบความหวังและความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีอยู่ ฉันแปลกใจกับตัวเองมาก และความประหลาดใจนั้นยังคงอยู่กับฉันมาตลอด มันแสดงให้ฉันเห็นว่าฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเองทำอะไรได้บ้าง บุคลิกภาพของฉันยังคงพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ที่ทุกความท้าทายคือโอกาสที่จะทำลายข้อจำกัดที่ฉันเคยตั้งไว้กับตัวเอง ฉันแทบบอกไม่ได้ว่าความคิดนี้ทำให้ฉันรู้สึกกล้าแค่ไหน ความคิดที่ว่าความเข้มแข็งและความอดทนของฉันกำลังพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ และฉันกำลังกลายเป็นคน “ดีขึ้น” เมื่อเวลาผ่านไป มันทำให้ฉันมีความมั่นใจที่เหมือนเป็นสัญชาตญาณดิบ ราวกับว่ามีพลังบางอย่างในตัวฉันที่สามารถเอาตัวรอดได้จากทุกสิ่ง
ความสุขจากการเติบโต
ความรู้สึกเหล่านี้ของฉันไม่ได้แปลกหรือต่างจากคนอื่นนัก ผู้คนที่คิดว่าตัวเองสามารถเติบโตและเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง มักจะเป็นคนที่มีความสุขมากกว่า นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “กรอบความคิดแบบเติบโต” ซึ่งคือความเชื่อที่ว่าพรสวรรค์และสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่การทำงานหนักและความอุตสาหะสามารถทำให้เราดีขึ้น ฉลาดขึ้น และมีทักษะมากขึ้นได้ เมื่อก่อนเราเคยเชื่อกันว่า นิวโรพลาสติกซิตีจะสิ้นสุดลงหลังช่วงวัยเด็ก แต่ตอนนี้งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าสมองเป็นอวัยวะที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต จากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ นั่นหมายความว่าคนที่คุณเป็นเมื่อสิบปีก่อนมีสมองที่เชื่อมต่อแตกต่างจากสมองที่คุณมีในตอนนี้
ฉันมีเพื่อนบางคนที่คงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับแนวคิดนี้ พวกเขามองอดีตของตัวเองอย่างใคร่รู้และไม่ยึดติด สมัยเป็นวัยรุ่น Sofia เพื่อนของฉันอ่านนิยายเรื่อง Twilight ทุกเล่ม แปะโปสเตอร์ Beyoncé เต็มผนังห้องนอน และทาอายแชโดว์สีดำสโมกกี้ทั่วเปลือกตา ตอนนี้เธอมองรูปถ่ายตัวเองตอนอายุ 16 แล้วสงสัยว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ เมกอัพนั่น! นิยายแวมไพร์นั่นช่างไร้สาระจริง ๆ!
ส่วนตัวฉัน ฉันไม่อินกับความงุนงงนี้เลย ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับวัยเด็กที่ชัดเจนและสดใส ซึ่งฉันสามารถดูซ้ำในใจได้เหมือนกับหนังสั้นเรื่องหนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อยที่มองออกไปยังทุ่งหญ้าสีแดงป่าในแอฟริกาใต้ และรู้สึกถึงความกว้างใหญ่ของโลกที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวเธอ ยังคงดูชัดเจนและอยู่ในใจฉันเสมอ ฉันเข้าถึงความหวังและความกลัวของเธอได้ โดยเมื่อหลับตาและตั้งสมาธิ ความฝันของเธอก็จะพัดผ่านเข้ามาเหมือนกับหมอกที่ฉันเคยได้สัมผัสมาก่อน แน่นอนว่าฉันภูมิใจกับทุกการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของตัวเอง ทั้งหมดที่ฉันได้เรียนรู้ ทำได้สำเร็จ และเอาชนะได้ แต่ฉันยังมั่นใจว่านี่คือฉันคนเดิมที่ได้ประสบเรื่องราวเหล่านี้มาทั้งหมด ฉันไม่มีวันอยากจะปล่อยหินก้อนที่อยู่กลางใจของฉันนั้นไป นั่นคือความรู้สึกที่ว่ามีแก่นแท้ของตัวตนที่อยู่กับฉันมาตลอด
ฉันรู้สึกโล่งใจเมื่อ Hannah บอกว่าฉันไม่จำเป็นต้องทิ้งความงดงามของเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ทั้งหมดนั้นไป เธอบอกว่า การรู้สึกถึงความต่อเนื่องอันลึกซึ้งในชีวิตนั้นไม่ใช่เรื่องผิดพลาดอะไร ตราบใดที่คุณตระหนักว่ามันดำรงอยู่ร่วมกับความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างทรงพลัง การเจ็บป่วยบังคับให้ฉันต้องพักและหันมาใส่ใจดูแลตัวเองในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ฉันได้สัมผัสกับความเชื่องช้าของเวลาในแบบที่ไม่เคยมาก่อน และความน่าสะพรึงของความไม่แน่นอน แม้บางการเปลี่ยนแปลงจะหนักหนากว่าครั้งอื่น ๆ แต่ก็ยังมีแสงสว่างเล็ก ๆ ซ่อนอยู่เสมอ ต่อให้ต้องเพ่งมองจึงจะเห็นก็ตาม ตอนนี้ เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า ฉันสัมผัสได้ถึงความเป็นไปได้ที่เปิดกว้างสำหรับฉัน ในแง่ที่ฉันเป็นผู้กำหนดการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากเพียงใด และตัวตนของ “ฉัน” นั้นถูกหล่อหลอมขึ้นโดยตัวฉันเองมากเพียงใด
พักหลังมานี้ ฉันพยายามพิจารณาคำแนะนำของ Hannah ในบริบทที่ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันมากขึ้น นิวโรพลาสติกซิตีสามารถสร้างการเติบโตครั้งใหญ่ได้ตลอดชีวิต แต่ก็ช่วยให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ด้วย ซึ่งสามารถทำให้หน้าที่การงานของเรามีคุณค่ามากขึ้น และชีวิตของเรามีชีวิตชีวาและมีความหมายมากขึ้น นี่คือวิธีบางอย่างที่ฉันนำมาใช้เพื่อพัฒนากรอบความคิดแบบเติบโตของตัวเอง
เกี่ยวกับผู้เขียน
Hannah Critchlow เป็นนักประสาทวิทยาที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และมีพื้นฐานด้านประสาทจิตเวชศาสตร์ เธอเป็น Fellow ที่ Magdalene College, Cambridge University ซึ่งเป็นสถานที่ที่เธอทำวิจัยปริญญาเอกด้วย เธอเป็นผู้เขียนหนังสือด้านประสาทวิทยาศาสตร์ที่ได้รับคำชื่นชมสามเล่ม ได้แก่: Joined-Up Thinking (2022); The Science of Fate (2019); และ Consciousness: A Ladybird Expert Book (2018) เธอปรากฏตัวเป็นประจำในรายการโทรทัศน์และวิทยุ โดยล่าสุดทำหน้าที่เป็นพิธีกรด้านวิทยาศาสตร์ในซีรีส์ของ BBC เรื่อง Family Brain Games with Dara ÓBriain ในปี 2019 Hannah ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “ดาวรุ่งในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ” ของ Cambridge University และในปี 2014 ได้รับการยกย่องให้เป็น “หนึ่งใน 100 นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร” โดย Science Council
Jesse May Palmer ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ House of Beautiful Business เธอเป็นดีไซเนอร์สหสาขาที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบประสบการณ์และการสร้างโลกเสมือน โดยเธอใช้เวลาตลอดทศวรรษที่ผ่านมาในการพัฒนาทักษะฝีมือและกำหนดภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ Jesse มีพื้นเพมาจากแอฟริกาใต้และปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เบอร์ลิน เธอเคยใช้ชีวิตและทำงานมาทั่วโลก โดยมีช่วงเวลายาวนานในโปรตุเกส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา เส้นทางชีวิตของเธอได้ส่งเสริมให้เกิดการค้นคว้าอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับพลังของความงามในโลกธุรกิจ